ปลูกกุยช่ายในกระถาง แตกยอดไว พื้นที่น้อยก็ปลูกได้
ยินดีต้อนรับผู้อ่านทุกท่านเข้าสู่ me-panya.com แนวทางเกษตร เกร็ดความรู้ด้านต่างๆจากภูมิปัญญาชาวบ้าน วันนี้มีเรื่องราวดีๆมานำเสนอ เกี่ยวกับเทคนิคการปลูกกุยช่ายในกระถาง ซึ่งกุยช่ายจะสามารถขยายพันธ์ุได้ 2 วิธี แต่วิธีที่นิยมปลูก คือ การแยกเหง้าปลูก ส่วนอีกวิธีจะเป็นการปลูกด้วยการเพาะเมล็ด สำหรับวันนี้เราจะปลูกกุยช่ายในกระถางด้วยวิธีการแยกเหง้า จะช่วยให้มีการเจริญเติบโตที่ดี และเป็นต้นที่สมบูรณ์สามารถที่จะให้ผลผลิตได้เร็วขึ้น รวมไปถึงอายุการเก็บเกี่ยวสามารถได้นาน จะมีวิธีการปลูกอย่างไรนั้น เราไปรับชมกันเลยค่ะ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1.ต้นพันธ์ุกุยช่าย
2.กระถางพร้อมดินปลูก
3.กรรไกร
4.เศษฟางข้าว
5.น้ำเปล่ากับบัวรดน้ำ
วิธีการทำ
1.นำต้นพันธ์ุกุยช่ายมาตัดใบออก ควรตัดให้สูงจากเหง้าประมาณ 1 นิ้วขึ้นไป เพราะป้องกันไม่ให้เหง้าของต้นกุยช่ายเน่า
2.หลังจากที่ตัดส่วนที่เป็นใบออกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะตัดส่วนที่เป็นรากออก เพื่อที่จะนำไปปลูกให้ง่ายขึ้นและเป็นการกระตุ้นให้เกิดรากใหม่ให้เร็ว
3.เมื่อทำการเตรียมพันธ์ต้นกุยช่ายเสร็จแล้ว นำมาปลูกความลึกโดยประมาณ 1 นิ้ว ระยะห่างแต่ละเหง้าไม่ต่ำกว่า 5 ซม. เพราะจะช่วยให้มีการขยายเหง้าได้ดี
4.จากนั้นนำเศษฟางข้าวคลุมหน้าดิน เพื่อเป็นการรักษาความชื้นและควบคุมวัชพืช ทั้งยังเป็นการสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ด้วย
5.หลังจากที่ทำการปลูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว รดน้ำให้ชุ่มพอประมาณ
การดูแลรักษา
สำหรับการดูแลรักษา สามารถที่จะวางในตำแหน่งที่เราต้องการได้เลย หรือว่าบริเวณกลางแจ้งทำการดน้ำวันละ 1 ครั้ง จากนั้นจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ค่อยทำการให้ปุ๋ยน้ำหมักต่างๆ ส่วนระยะเวลาที่ใช้ในการปลูก 40 วันก็สามารถตัดใบกุยช่ายไปรับประทานได้ ส่วนรอบที่ 2 ก็จะใช้เวลา 21 วัน และทำการบำรุงให้ปุ๋ยให้น้ำได้ปกติได้เลยค่ะ ซึ่งเราก็จะมีผักกุยช่ายไว้รับประทานตลอดไป
ถ้าเหง้าของผักกุยช่ายแน่นเกินไปก็จะมีการเจริญเติบโตไม่ค่อยดี เราควรแยกมาปลูกในกระถางใหม่
ตัวอย่าง ผักกุยช่ายที่ทำการปลูกครบ 40 วัน พร้อมรับประทานแล้ว
เทคนิคการปลูกกุยช่าย " ผักกุยช่าย ...
น้ำหมักไล่แมลงจากหน่อไม้ ช่วยลดต้นทุน ปลอดภัยได้ผลดี
ทักทายสมาชิกผู้ทำเกษตรทุกๆท่านด้วยค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ me-panya.com ศูนย์รวมบทความสาระความรู้ต่างๆเกี่ยวกับเกษตรทั่วทุกด้าน แน่นอนว่ามาพบกับเรา ก็ต้องมีความรู้มาเผยแพร่ให้เพื่อนๆกันแน่นอน เรื่องที่เรายกมานำเสนอในวันนี้ เป็นการทำน้ำหมักหน่อไม้ เพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช เป็นน้ำหมักที่ได้จากการนำหน่อไม้มาผ่านขบวนการหมัก เพื่อให้ได้สารที่อยู่ในหน่อไม้ คือ " สารไซยาไนด์ " ซึ่งสารตัวนี้จะมีคุณสมบัติในการขับไล่แมลง ทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการซิ้อยาฆ่าแมลง ปลอดภัยต่อผูใช้งานและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย จะมีรายละเอียดและวิธีการทำอย่างไรนั้น เราไปรับชมกันเลยค่ะ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1.หน่อไม้สด
2.มีด
3.ภาชนะหมักพร้อมฝาปิด
4.น้ำเปล่า
วิธีการทำ
1.นำหน่อไม้มาทำการปลอกเปลือกออกให้หมด
2.เมื่อทำการปลอกเปลือกหน่อไม้เสร็จเรียบร้อยแล้ว หั่นหน่อไม้ให้มีชนิดขนาดเล็ก
3.จากนั้นเติมน้ำเปล่าลงไปให้พอท่วมหน่อไม้
4.หลังจากใส่ผสมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นำฝามาปิดภาชนะหมักได้เลย
การเก็บรักษา
หลังจากที่ทำเสร็จแล้ว จะนำน้ำหมักหน่อไม้ไปเก็บไว้ในที่ร่มใช้ระยะเวลาในการหมัก 3 วัน โดยไม่ต้องทำการเปิดฝาถังหมักออก หลังจากที่เราทำการหมักครบ 3 วันแล้ว ก็จะกรองเอาส่วนที่เป็นน้ำนำไปใช้งาน ส่วนเนื้อหน่อไม้ก็สามารถนำไปทำเป็นหน่อไม้ดอง หรือว่านำไปทำเป็นปุ๋ยก็ได้เช่นกัน
ตัวอย่าง น้ำหมักหน่อไม้ที่ผ่านกระบวนการหมักครบ 3 วันแล้ว จะมีลักษณะเป็นน้ำสีเทาอ่อนๆ
การนำไปใช้งาน
สำหรับการนำไปใช้งานถ้าเป็นถังฉีดพ่น 20 ลิตร อัตราส่วนที่ใช้น้ำหมักหน่อไม้ 1 แก้ว หรือประมาณ 200 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ส่วนกระบอกฉีดน้ำจะใช้น้ำหมักหน่อไม้ 1 ช้อนแกง โดยจะนำไปฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่มที่มีเพลี้ย และแมลงต่างๆที่มารบกวน ควรใช้งาน 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ หรือถ้าสังเกตเห็นเพลี้ยมารบกวนพืชผักสวนครัวก็สามารถที่จะนำไปใช้งานได้เลย ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการใช้งานควรเป็นช่วงเย็น
น้ำหมักหน่อไม้สูตรนี้ สามารถเก็บไว้ใช้งานได้จนกว่าจะหมด...
อดีตพนักงานโรงงาน หันมาปลูกข้าวญี่ปุ่น สร้างรายได้สูงสุด 100,000 บาทต่อเดือน
คุณเสกสรรค์ โพธิสาร เจ้าของพอดีฟาร์มข้าวญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่ อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี คุณเสกสรรค์ เล่าให้ฟังว่า ในช่วงแรกตัวเองได้ไปทำงานอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นเกี่ยวกับด้านการเกษตร ซึ่งได้ไปเห็นการปลูกข้าวญี่ปุ่นมีความแปลกใหม่ดี เวลาที่ข้าวแตกกอออกรวงมีความสวย เกิดเป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะลองปลูกข้าวญี่ปุ่น และรสชาติข้าวก็ดี เลยอยากนำมาปลูกที่บ้านของตัวเอง ซึ่งตอนนั้นยังไม่สามารถที่จะนำมาปลูกได้เพราะว่าตัวเองยังทำงานอยู่
เมื่อเวลาผ่านไปได้กลับมาจากประเทศญี่ปุ่นก็ได้ไปทำงานที่โรงงานสักพักหนึ่ง เพราะในช่วงนั้นยังไม่มีต้นทุนที่จะสามารถมาทำนาข้าวได้ แต่ตัวเองมีความฝันว่าจะต้องมาปลูกข้าวญี่ปุ่นให้ได้ จึงเริ่มศึกษาหาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเมล็ดพันธ์ุข้าวญี่ปุ่นว่ามีจำหน่ายที่ไหนบ้าง สามารถที่จะต่อยอดไปทางไหนได้บ้าง จากนั้นก็ได้นำเมล็ดพันธ์ุข้าวมาทดลองปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ก่อน 1 ขีด เพื่อที่จะเอาพันธ์ุข้าว และได้ทดลองปลูกในแบบของชาวบ้านที่ทำ แบบเพาะถาดนาโยน ได้ลองปลูกหลายวิธีเพื่อเปรียบเทียบกันดู ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ดี คือ การเพาะถาด แบบต้นกล้านาโยน เพราะข้าวสามารถแตกกอได้ดีทนต่อโรคกว่า
การวางแผนปลูกข้าวญี่ปุ่นจะมีการวางแผนไว้ตามระบบน้ำที่มี ซึ่งจะสามารถปลูกข้าวได้ 2 งานต่อเดือน และจะปลูกสลับหมุนเวียนไป โดยปลูกข้าวได้ 1 เดือนก็จะเริ่มปลูกข้าวชุดใหม่ ระยะห่างในการปลูกประมาณ 30 x 30 ซม.
ปัจจุบันสามารถผลิตข้าวได้ต่อเดือน 350 กก. ในส่วนรูปแแบบการขายข้าวที่ฟาร์มจะขายผ่านช่องทางออนไล์เพจเฟสบุ๊ค พอดีฟาร์ม ข้าวญี่ปุ่น อุดรธานี และมีลูกค้าที่ติดตามผลงานมาตลอดผ่านเฟสบุ๊ค ซึ่งทางฟาร์มจะขายทั้งเมล็ดพันธ์ุข้าว ส่วนออเดอร์เมล็ดพันธ์ุจะมีลูกค้าจองเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งรายได่ต่อเดือนของฟาร์มประมาณ 100,000 บาท
ต้นทุนในการปลูกข้าวญี่ปุ่นจะมีแค่ค่าไถนา ส่วนน้ำหมักจะทำเองจากเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานไม่หมดและทำจุลินทรีย์น้ำหมักไว้ใช้เอง " ข้อดีในการทำนาข้าวญี่ปุ่น ช่วยให้เรามีความสุขกับการทำนา...
น้ำหมักกรดอะมิโนสูตรเข้มข้น เร่งดอก เร่งผล บำรุงดิน
สวัสดีสมาชิกแนวทางเกษตร เกร็ดความรู้ทุกคนด้วยนะคะ เรามีสาระเกร็ดความรู้มาฝากสมาชิกผู้อ่านทุกคน เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับวิธีการทำน้ำหมักรดอะมิโนสูตรเข้มข้น เร่งดอก เร่งผล บำรุงดิน น้ำหมักอะมิโนจะเป็นสารอาหารสำหรับพืช กรดอะมิโนที่เกิดขึ้นจากอาหารประเภทที่มีโปรตีนสูง ซึ่งผ่านการย่อยสลายทำให้พืชนำไปใช้งานได้อย่างรวดเร็วทันที ไม่ต้องผ่านการสังเคราะห์แสงหรือเป็นการสังเคราะห์แสงของพืช โดยปกติแล้วพืชสามารถสร้างกรดอะมิโนขึ้นมาเองได้ ด้วยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในเรื่องของดิน น้ำ และแสงแดด แต่วิธีนี้ที่เราทำขึ้นมาเป็นการกระตุ้นเพื่อเป็นการเสริมให้กับพืช ให้พืชมีการเจริญเติบโตที่ดี ชวยเร่งดอก เร่งผล ทำให้ติดผลดกและช่วยในเรื่องการเพิ่มขนาดของผลด้วยค่ะ จะมีวิธีการทำอย่างไรนั้น เราไปรับชมกันเลยค่ะ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1.เนื้อสับ 1 ขีด
2.ไข่ 2 ฟอง
3.นมรสจืด 1 กล่อง 200 มิลลิลิตร
4.นมเปรี้ยวขวดเล็ก 1 ขวด 80 มิลลิลิตร
5.กากน้ำตาล
6.ภาชนะ สำหรับผสม
7.ช้อน
8.ภาชนะในการหมัก แนะนำให้ใช้เป็นขวดพลาสติก
9.กรวย
10.ไม้
วิธีการทำ
1.นำไข่ 2 ฟองมาตอกผสมกับเนื้อ 1 ขีด
2.จากนั้นเติมนมรสจืด 1 กล่อง
3.หลังจากที่เติมนมจืดเสร็จเรียบร้อย เติมนมเปรี้ยวลงไป 1 ขวดเล็ก เพื่อที่จะอาศัยจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในยาคูลท์เป็นตัวย่อยสลายสารอาหารต่างๆที่เป็นโปรคตีน เมื่อผ่านการย่อยสลายแล้วจะเกิดเป็นกรดอะมิโนต่างๆ
4.เติมกากน้ำตาลลงไป 1 ช้อนแกง เพื่อเป็นอาหารของจุลินทรีย์ เร่งให้จุลินทรีย์ขยายตัวได้เร็วขึ้นและช่วยในเรื่องของการดับกลิ่นที่เกิดจาการหมัก ซึ่งทำให้กลิ่นไม่เหม็น
5.เมื่อใส่ส่วนผสมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนส่วนผสมให้ละลายเข้ากัน
6.หลังจากที่คนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดีแล้ว นำไปกรอกใส่ภาชนะหมัก ส่วนที่เป็นเนื้อจะไม่ค่อยลงขวดให้ใช้ไม้แยงลงไป เพื่อที่จะให้เนื้อลงไปในขวดได้
7.หลังจากที่เรากรอกใส่ภาชนะหมักเสร็จ ทำการปิดฝาและเขย่าขวดเพื่อให้ส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากันดียิ่งขึ้น
การเก็บรักษา
หลังจากที่เราเสร็จแล้ว จะนำไปเก็บไว้ในที่ร่มอากาศสามารถที่จะถ่ายเทได้ดี ปิดฝาขวดให้พอหลวมๆเพื่อให้ที่จะให้อากาศระบายออกได้เป็นบางส่วน...
น้ำหมักจุลินทรีย์จาวปลวก สูตรเร่งโตเพิ่มผลผลิต ย่อยสลายอินทรีย์วัตถุได้ดี
ทักทายสมาชิกผู้ทำเกษตรทุกๆท่านด้วยค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ me-panya.com ศูนย์รวมบทความสาระความรู้ต่างๆเกี่ยวกับเกษตรทั่วทุกด้าน แน่นอนว่ามาพบกับเรา ก็ต้องมีความรู้มาเผยแพร่ให้เพื่อนๆกันแน่นอน เรื่องที่เรายกมานำเสนอในวันนี้เป็นวิธีการทำน้ำหมักจุลินทรีย์จาวปลวก เป็นจุลินทรีย์ที่ได้จากการนำจาวปลวกมาหมักเพื่อใช้ในทางเกษตร ซึ่งจุลินทรีย์จาวปลวกจะแบ่ง 2 ชนิด คือ 1.จุลินทรีย์จาวปลวกแบบน้ำ 2.จุลินทรีย์จาวปลวกแบบผง สำหรับวันนนี้เราก็จะทำจุลินทรีย์จาวปลวกแบบน้ำ จะมีรายละเอียดและวิธีทำอย่างไรนั้น เราไปรับชมกันเลยค่ะ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1.จาวปลวก 200 กรัม
2. ข้าวเหนียว ในอัตราส่วน 1 : 1
3.น้ำสะอาด 20 ลิตร
วิธีการทำ
1.นำจาวปลวกมาโรยกับข้าวเหนียวผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน สำหรับข้าวจะเป็นอาหารของจุลินทรีย์จาวปลวก
2.หลังจากที่ทำการคลุกเคล้าส่วนผสมทั้ง 2 อย่างเข้ากันดีแล้ว สามารถนำไปใส่ในภาชนะหมักได้เลย
3.จากนั้นทำการปิดฝาถังหมัก ซึ่งจะใช้เวลาในการหมักประมาณ 3 วัน เพื่อที่จะให้จุลินทรีย์ขยายตัวได้ดี
ตัวอย่าง จุลินทรีย์จาวปลวกที่ทำการหมักครบ 3 วัน จะมีลักษณะเป็นราขาว
4.เมื่อเราทำการหมักจุลินทรีย์จาวปลวกครบ 3 วันแล้ว ให้เติมน้ำสะอาดลงไป 20 ลิตร
5.หลังจากที่เติมน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำการปิดฝาเป็นการเสร็จขั้นตอนในการทำ ซึ่งจะใช้ระยะเวลในการหมักอีก 7 วัน ก็สามารถนำไปใช้งานได้เลยค่ะ
การดูแลรักษา
สำหรับการดูแลักษาหลังจากที่เราทำเสร็จแล้ว จะนำไปเก็บไว้ในที่ร่มอากาศถ่ายเทได้ดี ส่วนการให้อาหารก็จะเป็นข้าวเหนียว หรือข้าวสวยก็ได้เช่นกัน
ตัวอย่าง จุลินทรีย์จาวปลวกที่ทำการหมักครบ 7 วันแล้ว จะมีลักษณะเป็นสีขาวที่เรียกว่า " ฮิวมัส " แสดงว่ามีจุลินทรีย์เป็นจำนวนมาก
การนำไปใช้งาน
อัตราส่วนในการใช้งานจุลินทรีย์จาวปลวก...
จากวิศวกรสู่เจ้าของสวนมันหวานญี่ปุ่น สร้างรายได้สูงสุด 50,000 บาท/เดือน
สวัสดีเพื่อนๆเกษตรกรทุกคนค่ะ สำหรับวันนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ คุณจีรศักดิ์ สาที หรือ คุณจิมมี่ เจ้าของมันหวานญี่ปุ่น ไร่นายจิม ตั้งอยู่ที่ อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น คุณจิมมี่ เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่จบการศึกษา สายอาชีพที่ตัวเองเรียนมาได้ไปทำงานด้านวิศวกร แต่ว่าพอทำไปสักพักรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเอง จากนั้นก็เลยได้ลองศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอาชีพเสริม การขายออนไลน์ และการปลูกผักต่างๆ ซึ่งตัวเองมีพื้นฐานด้านการเกษตรอยู่แล้ว ซึ่งช่วงนั้นได้ทำงานและขายของออนไลน์ไปด้วย ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างที่จะดี จนได้มาเจอเทคนิคการปลูกมันหวานญี่ปุ่น จากพี่ที่รู้จักแนะนำมาและได้ชิมรสชาติของมันหวานญี่ปุ่นแล้ว มีความชอบ เลยได้นำมาทดลองปลูกในช่วงที่ลาออกจากงานประจำมาแล้ว
ซึ่งในช่วงแรกผลผลิตยังไม่ได้ตามที่ต้องการ จนเริ่มศึกษาและทดลองปลูกมาเรื่อยๆ จนได้ผลตอบลัพธ์ที่ดี โดยปัจจุบันนี้คุณจิมมี่ได้กลับมาปลูกมันอย่างเต็มตัวแล้ว มีแบรนด์ของตัวเอง " มันหวานญี่ปุ่น ไร่นายจิม " ช่วงแรกที่พบปัญหาในการปลูก เพราะว่าความรู้และประสบการณ์ยังน้อย หลังจากนั้นจึงได้สอบถามรุ่นพี่ที่ปลูกมาก่อน เลยได้นำความรู้มาปรับใช้ในสวนของตัวเองมาเรื่อยๆ จนได้ผลผลิตตามที่ต้องการ
ปัจจุบันที่ฟาร์มมีมันหวานญี่ปุ่นอยู่ทั้งหมด 6-7 สายพันธ์ุ คือ 1.เบนิฮารุกะ 2.ส้มโอกินาว่า 3.ม่วงโอกินาว่า 4.ม่วงเพอร์เพิล 5.ม่วงฮาวาย และ6.อันโนะอิโมะ เป็นต้น
สำหรับพื้นที่ในการปลูกมันหวานญี่ปุ่นมีทั้งหมด 4-5 ไร่ ซึ่งจะทำการปลูกเป็นช่วง เพื่อที่จะให้ได้ผลผลิตตามที่เป้าหมายมีมันหวานญี่ปุ่นตลอดทั้งปี และจะมีส่วนที่เป็นของเครือข่าย กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยเครือข่ายจะมารับยอดพันธ์ุไปปลูก ส่งผลิตให้กับทางไร่ของคุณจิมรับซื้อคืน หรือเครือข่ายจะนำไปขายเองในราคาปลีก ในพื้นที่...
ปุ๋ยน้ำหมักขี้ไก่ เร่งการติดดอกบำรุงผล พืชผักงามไว
สวัสดีเพื่อนๆสมาชิกแฟนเพจทุกท่านค่ะ ทักทายสมาชิกเก่าทุกท่านและขอต้อนรับสมาชิกใหม่กันด้วยนะคะ ในวันนี้เรามีสาระ เกร็ดความรู้มาฝากกันอีกเช่นเคย เป็นวิธีการทำปุ๋ยน้ำหมักขี้ไก่ประสิทธิภาพสูง เราจะนำเอาขี้ไก่มาหมักทำให้เป็นปุ๋ยน้ำ เพื่อใช้ในการฉีดพ่นในการทำสวน การปลูกพืชผักต่างๆโดยทั่วไปขี้ไก่หรือขี้เป็ดที่เราจะนำมาใช้ในการทำสวน จะนำมาใช้ในการใส่เป็นปุ่ยหมักไปเลย แต่สำหรับวันนี้เราจะนำมาทำเป็นปุ๋ยน้ำ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ใช้ในการฉีดพ่นเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งในการใสปุ่ยขี้ไก่จะใช้เวลาดูดซึมผ่านระบบราก และมีกระบวนการสังเคราะห์แสงที่เกิดขึ้น แต่หลังจากที่เรานำขี้ไก่มาหมักพืชไม่จำเป็นต้องมีการสังเคราะห์แสง สามารถนำธาตุอาหารต่างๆไปใช้งานได้เลย จะมีรายละเอียดและวิธีการทำอย่างไรนั้น เราไปรับชมกันเลยค่ะ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1.ภาชนะหมักพร้อมฝาปิด
2.ขี้ไก่ 1 กก.
3.น้ำเปล่า
4.ไม้คนส่วนผสม
5.นมเปรี้ยว 1 ขวด
6.ไตรโคเดอร์มา 500 ซีซี
7.หัวเชื้อจุลินทรีย์ 500 ซีซี
8.จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง 500 ซีซี
วิธีการทำ
1.ใส่ขี้ไก่ลงไปในภาชนะหมักแล้ว เติมไตรโคเดอร์มาลงไป 500 ซีซี
2.เติมจุนทรีย์สังเคราะห์แสงตามลงไป 500 ซีซี
3.เติมหัวเชื้อจุลินทรีย์ลงไป 500 ซีซี เช่นกัน
4.หลังจากนั้นก็เติมนมเปรี้ยวลงไป 1 ขวด
5.เติมน้ำเปล่าตามลงไปแค่พอท่วม
6.เมื่อใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไปครบแล้ว ใช้ไม้คนให้เข้ากัน
7.หลังจากนั้นปิดฝาภาชนะหมักให้เรียบร้อย
วิธีการดูแลรักษา
สำหรับการดูแลรักษา หลังจากที่เราทำเสร็จแล้วจะนำไปเก็บไว้ในที่ร่ม ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นกระบวนการหมักการย่อยสลายต่างๆ ธาตุอาหารจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งกระบวนการหมักจะใช้เวลาประมาณ 4-5 วัน จากนั้นก็สามารถนำไปใช้งานได้เลย และสามารถเก็บไว้ใช้งานได้จนกว่าจะหมด
ตัวอย่างปุ๋ยน้ำหมักขี้ไก่
การนำไปใช้งาน
การนำไปใช้งานปุ๋ยน้ำหมักขี้ไก่ หลังจากที่หมักครบ 4-5 วัน จะกรองเอาเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำ อัตราส่วนการใช้งานปุ๋ยน้ำหมักขี้ไก่ 50 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ใช้ในการฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณทรงพุ่มหรือว่าฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณแปลงผักได้เลย ทำการฉีดพ่นในช่วงที่มีอากาศเย็น
ช่วงเช้าประมาณ...
วิธีเพาะเมล็ดผักชี ให้งอกเร็วโตเร็ว ใบสวย กอใหญ่ ได้ผลผลิตดี
ยินดีต้อนรับผู้อ่านทุกท่านเข้าสู่ me-panya.com แนวทางเกษตร เกร็ดความรู้ด้านต่างๆจากภูมิปัญญาชาวบ้าน วันนี้มีเรื่องราวดีๆมานำเสนอ เกี่ยวกับวิธีการเพาะเมล็ดผักชีให้งอกเร็ว ปกติแล้วผักชีจะขยายพันธ์ุด้วยวิธีการเพาะเมล็ด แต่เมล็ดผักชีจะมีกะลาครอบด้านนอกที่แข็ง ซึ่งกว่าเมล็ดจะสามารถงอกแตกออกมาเป็นต้นกล้าได้จะใช้เวลาค่อนข้างที่จะมาก ดังนั้นแล้ววันนี้เราจึงมาแนะนำวิธีการเพาะให้งอกเร็วขึ้น สามารถทำให้เราได้ผลผลิตเร็วขึ้น จะมีวิธีการทำอย่างไรนั้น เราไปรับชมกันเลยค่ะ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1.กระถางพร้อมดินปลูก
2.เศษฟางข้าว
3.เมล็ดพันธ์ุผักชี
4.ค้อนทุบ
5.บัวรดน้ำพร้อมน้ำ
วิธีการทำ
1.นำเมล็ดผักชีมาทุบให้กะลาผักชีแตกก่อนที่จะนำไปปลูก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เมล็ดผักชีงอกได้เร็วขึ้น
2.เมื่อทุบเมล็ดผักชีเสร็จแล้ว ก็สามารถนำไปโรยลงในภาชนะที่เราจะทำการปลูกได้เลย สำหรับการปลูผักชีไว้รับประทานเองแนะนำให้ปลูกเป็นรุ่น แต่ละรุ่นห่างกันประมาณ 30-40 วัน แล้วเราจะมีผักชีไว้รับประทานได้ตลอด
3.หลังจากที่หว่านเสร็จเรียบร้อย นำเศษฟางข้าวมาคลุมเพื่อเป็นการรักษาความชื้นไม่ให้การระเหยของน้ำเร็วเกินไป และจะช่วยในเรื่องของการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งทำการคลุมไว้ในลักษณะแบบนี้เลย จนกว่าผักชีจะงอกแล้วปล่อยให้ย่อยสลายเป็นปุ๋ยต่อไป
4.จากนั้นทำการรดน้ำให้ชุ่มพอประมาณ
การดูแลรักษา
การดูแลรักษา หลังจากที่เราปลูกเสร็จแล้วก็สามารถที่จะวางได้กลางแจ้งได้เลย ทำการรดน้ำทุกวันเป็นปกติวันละ 1 ครั้ง ซึ่งตัวฟางข้าวที่เราคลุมหน้าดินจะช่วยรักษาความชื้นให้กับเมล็ดผักชีที่เราหว่านลงไป เทคนิคนี้จะใช้เวลาอยู่ไม่เกิน 7 วัน ผักชีก็จะเริ่มงอกต่อจากนั้นเราก็สามารถที่จะรดน้ำ ให้ปุ๋ยและฮอร์โมนต่างๆ ได้ ปกติแล้วผักชีจะมีความไวต่อปุ๋ยหรือสารเคมีเป็นอย่างมากจะทำให้ใบเหี่ยว สำหรับปุ๋ยที่ควรใส่แนะนำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยน้ำหมักต่างๆ นำมาฉีดพ่น โดยเราสามารถให้ปุ๋ยได้ตั้งแต่ผักชีงอกได้ 1 สัปดาห์แล้ว
หลังจากที่เราปลูกไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 30-35 วัน เราก็สามารถที่จะเก็บผลผลิตไปประกอบอาหารได้ ซึ่งอายุการเก็บผลผลิตจนกว่าจะออกดอกจะขึ้นอยู่กับสายยพันธ์ุของผักชี เทคนิคนี้สามารถที่จะปลูกผักชีได้ทุกสายพันธ์ุ
วิธีเพาะเมล็ดผักชีให้งอกเร็ว สำหรับเพื่อนๆเกษตรกรถ้าเกิดท่านต้องการที่จะปลูกผักชีในลักษณะแบบนี้จะมีข้อดี คือ จะช่วยเร่งระยะเวลาในการงอกของผักชีได้ดีสามารถที่จะงอกได้ทุกเมล็ด เป็นการเพิ่มผลผลิตอีกทางหนึ่ง เพราะว่าโดยปกติถ้าเราใช้เป็นเมล็ดที่ยังไม่ทุบบางเมล็ดอาจจะไม่งอก ซึ่งเทคนิคการปลูกผักชีในลักษณะแบบนี้จะช่วยงอกได้เร็ว เพื่อนๆลองนำวิธีนี้ไปปรับใช้ดูนะคะ หากอ่านบทความไม่เข้าใจ ทางทีมงานเราได้ถ่ายทำขั้นตอนการทำอย่างละเอียดไว้ให้เพื่อนๆได้ชมกันอีกด้วย ตามลิงก์ด้านล่างนี้เลยค่ะ
เขียนโดย แนวทางเกษตร เกร็ดความรู้
https://youtu.be/bIuVT7coLMw
วิธีทำตุ้มตอนคุณภาพ สูตรรากงอกไว ไร้โรค ทำง่ายๆ ได้ผลดี
ทักทายสมาชิกผู้ทำเกษตรทุกๆท่านด้วยค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ me-panya.com ศูนย์รวมบทความสาระความรู้ต่างๆเกี่ยวกับเกษตรทั่วทุกด้าน แน่นอนว่ามาพบกับเรา ก็ต้องมีความรู้มาเผยแพร่ให้เพื่อนๆกันแน่นอน เรื่องที่เรายกมานำเสนอในวันนี้เป็นเทคนิคการทำตุ้มตอนสำหรับตอนกิ่ง จากขุยมะพร้าว ตัวตุ้มตอน ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการตอนกิ่ง ถ้าเกิดเราเตรียมตุ้มตอนดีจะทำให้กิ่งที่เราตอนมีกิ่งที่สบูรณ์สามารถที่จะงอกรากได้ดี จะมีรายละเอียดและวิธีการทำอย่างไรนั้น เราไปรับชมกันเลยค่ะ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1.ขุยมะพร้าว
2.น้ำเปล่า และภาชนะสำหรับแช่ขุยมะพร้าว
3.เชื้อบีเอส (บีเอส คือ สารชีวภัณฑ์อีกชนิดหนึ่งที่สามารถควบคุมป้องกันเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียได้)
3.คัตเตอร์
4.เชือกฟาง
5.ถุงพลาสติก 4 X 6 นิ้ว
วิธีการทำ
1.เตรียมภาชนะสำหรับแช่โดยจะมีน้ำเปล่าประมาณครึ่งถัง
2.นำเชื้อบีเอสใส่ลงประมาณครึ่งช้อนชา
3.จากนั้นนำขุยมะพร้าวแช่ลงในน้ำได้เลย ถ้าเกิดขุยมะพร้าวเป็นก้อนควรกำให้แตกเพื่อที่จะทำให้น้ำซึมเข้าไปได้ง่ายขึ้น สำหรับการแช่เราสามารถใช้มือกดขุยมะพร้าวลงน้ำได้ เพราะว่าเชื้อบีเอสจะไม่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นสารชีวภัณฑ์หรือจุลินทรีย์ที่มีอยูในธรรมชาติทั่วไป
เมื่อเราทำเสร็จแล้วจะแช่ทิ้งไว้ประมาณ 1 คืน เพื่อให้ขุยมะพร้าวดูดซึมน้ำได้อย่างเต็มที่
4.หลังจากที่เราแช่ขุยมะพร้าวแล้ว 1 คืน เราก็สามารถนำมาใส่ถุงเพื่อทำตุ้มตอนได้เลย โดยพยายามบีบน้ำออกจากขุยมะพร้าวออกให้หมดก่อนที่จะนำไปใส่ถุง ถ้าเกิดเราไม่เอาน้ำออกให้หมด จะเป็นสาเหตุทำให้แผลที่เราตอนเน่าได้ จากนั้นใส่ขุยมะพร้าวในถุงพลาสติกให้แน่น
6.นำเชือกฟางมาผูกให้แน่นอีกครั้ง หลังจากนั้นเราก็สามารถที่จะนำไปใช้งานได้เลยหรือถ้าใช้ไม่หมดก็เก็บใส่ภาชนะแล้วเก็บไว้ในที่ร่ม
การนำไปใช้งาน
สำหรับการนำไปใช้งาน เราสามารถที่นำไปใช้กับพืชที่เราต้องการที่จะตอนกิ่ง เป็นพืชที่ตอนกิ่งได้ทุกชนิด กรณีที่เราต้องการเปลี่ยนจากตุ้มตอนกิ่งไปทาบกิ่ง เราก็แกะเชือกออกใช้เป็นตุ้มในการทาบกิ่งได้เช่นกัน
เทคนิคการทำตุ้มตอนสำหรับตอนกิ่ง จากขุยมะพร้าว เทคนิคการเตรียมตุ้มตอนแบบนี้จะมีความสำคัญในเรื่องป้องกันเชื้อราและแบคทีเรียที่มีอยู่ในวัสดุที่เราจะนำมาทำตุ้มตอน สำหรับการเตรียมเราควรที่จะกำจัดเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียออกไปก่อน เพราะว่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียจะเป็นสาเหตุทำให้รากของกิ่งตอนไม่งอก หรือจะทำให้แผลที่เราทำกิ่งตอนเกิดอาการเน่าได้ ซึ่งการเตรียมตุ้มตอนแบบนี้เป็นปัจจัยที่ดี ถ้าเราเริ่มต้นเตรียมวัสดุตอนกิ่งดีจะทำให้ได้กิ่งพันธ์ุที่ดีตามมาด้วย เพื่อนๆลองนำวิธีนี้ไปปรับใช้ดูนะคะ หากอ่านบทความไม่เข้าใจ ทางทีมงานเราได้ถ่ายทำขั้นตอนการทำอย่างละเอียดไว้ให้เพื่อนๆได้ชมกันอีกด้วย ตามลิงก์ด้านล่างนี้เลยค่ะ
เขียนโดย แนวทางเกษตร เกร็ดความรู้
https://youtu.be/5Qzt1eGk1sk
เลี้ยงกุ้งฝอยข้างบ้าน สร้างรายได้ ไม่ต่ำกว่า 500 บาทต่อวัน
สวัสดีเพื่อนๆเกษตรกรทุกคนค่ะ สำหรับวันนี้วันนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรุ้จักกับ คุณสุภณา จันต๊ะจาย หรือครูยา เจ้าของครูยาฟาร์ม ตั้งอยู่ที่ บ้านสันก้างปลา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ครูยา เล่าให้ฟังว่า เดิมทีครูยารับราชการครู อยู่ที่โรงเรีบยนบ้านสันกำแพง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มาของการเลี้ยงกุ้งฝอย คือ แฟนของครูยาชอบกุ้งเต้นอยู่แล้ว การหาและซื้อค่อนข้างที่จะหาได้ยาก จึงเริ่มต้นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อที่จะเลี้ยงกุ้งฝอย ซึ่งได้ศึกษาแล้วทดลองเลี้ยงอยู่ประมาณ 2 บ่อ ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆเพื่อที่จะนำมาปรับใช้ในการเลี้ยง จนได้ขยายบ่อเลี้ยงเพิ่มจนเป็นครูยาฟาร์มจนถึงปัจจุบันนี้
โดยที่ฟาร์มจะมีการจำหน่ายพ่อแม่พันธ์ุและกุ้งเต้นเอง ส่วนรูปการเลี้ยงจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ 1.การเลี้ยงด้วยบ่อปูนซีเมนต์อยู่ประมาณ 7 บ่อ 2.การเลี้ยงแบบบ่อพลาสติกมีอยู่ 2 บ่อ และจะขยายต่อไปให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ครูยามีลูกฟาร์มที่เลี้ยงกุ้งฝอยอยู่ประมาณ 6 ฟาร์ม
ช่องทางการตลาดและการขายของฟาร์มจะมีขายผ่านช่องทางทางออนไลน์ เพจเฟสบุ๊ค และคนในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงจะเข้ามาซื้อที่ฟาร์ม อีกหนึ่งช่องทางคือลูกค้าที่ติดต่อโทรเข้ามาที่ฟาร์ม
จำนวนการผลิตต่อบ่อซีเมต์จะอยู่ประมาณ 3 ขีด ส่วนบ่อพลาสติกประมาณ 1 - 2 กก. สำหรับรายได้ของฟาร์มจะมาจากการจำหน่ายกุ้งฝอยขีดละ 50 บาท กิโลละ 500 บาท แต่ถ้าจำหน่ายเป็นชุดกุ้งเต้นละ 50 บาท...